ย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว คุณสา ธนิสา วีระศักดิ์ศรี ในวัย 20 ปี ซึ่งขณะนั้นเรียนอยู่ชั้นปี 3 ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเธอมีพี่สาว คือ คุณระวิภา ทำงานเป็นนักออกแบบให้กับแบรนด์ต่างชาติอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
.
แต่ตัวเธอเองเห็นว่าฝีมือการออกแบบของพี่สาวเธอนั้นก็ไม่ใช่ระดับปลายแถว ถึงขนาดได้รับประกาศนียบัตรนักออกแบบจากสถาบัน The Gemology Institution of America (GIA) และ ใบรับรองจากหลักสูตรช่างทำเครื่องประดับจาก Revere Academy Jewelry of Arts จาก ซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา
.
แล้วทำไมถึงต้องมาทำงานให้กับแบรนด์ต่างชาติ โดยรับค่าตอบแทนแค่ไม่กี่หมื่น ในขณะที่งานที่พี่สาวเธอออกแบบนั้นขายได้ราคาเป็นล้าน
.
เธอจึงตัดสินใจสร้างแบรนด์เครื่องประดับของตัวเองขึ้นมา โดยได้แรงบันดาลใจจากพี่สาวในการตั้งชื่อแบรนด์ นั่นก็คือ RAVIPA
.
เธอเริ่มต้นจากการสร้างแบรนด์ทางออนไลน์ ตั้งแต่ยุคเเรกๆ นั่นจึงทำให้เพจ RAVIPA มียอดการติดตามรวมกันถึง 150,000 คน
.
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะสงสัย ว่าทำไมอะไร คือ กุญแจความสำเร็จของ RAVIPA ?
.
ซึ่งคำตอบนั่นเรียบง่ายมาก นั่นก็คือ การรู้ว่า อะไรคือ “สิ่งที่คนไม่มีวันเปลี่ยน”
.
เเต่สิ่งที่ยากคือ เเล้วอะไรล่ะ คือสิ่งที่คนไม่มีวันเปลี่ยน ในยุคที่คนเปลี่ยนเเปลงอย่างรวดเร็ว ?
.
คุณสาตอบว่า สิ่งที่คนจะไม่มีวันเปลี่ยน เเม้ว่าเวลาจะผ่านไปเเค่ไหน ก็คือ...
.
- ทุกคนอยากได้รับความรัก
- ทุกคนอยากเป็นผู้มอบความรัก
- ทุกคนอยากเป็นคนพิเศษ
- ทุกคนอยากมีความสุข ความสบายใจ
- เเละสุดท้าย ทุกคนล้วนต้องการความมั่นคงในชีวิตโดยเฉพาะด้านจิตใจ
.
ถ้าเราสามารถตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้ให้กับลูกค้าได้มันก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
.
แล้วดูเหมือนว่าสิ่งที่คุณสาคิดมันจะถูกด้วย เพราะสินค้าตัวเเรกของเเบรนด์ RAVIPA อย่างเเหวนคู่อินฟินิตี้ ที่สื่อความหมายถึง “ความรักที่ไม่มีวันสิ้นสุด” ภายใต้สัญลักษณ์อินฟินิตี้ที่สลักอยู่บนตัวเเหวนคู่ นั้นสามารถสร้างยอดขายได้อย่างถล่มทลาย เพราะมันสามารถตอบโจทย์ในสิ่งที่คนไม่มีวันเปลี่ยนเเละไม่อยากให้มันเปลี่ยนได้ครบทุกข้อ
.
นั่นจึงทำให้คุณสาสามารถพาเเบรนด์ RAVIPA เข้าร่วมการแข่งขันเรียลลิตี้โชว์ในรายการ VOGUE Who’s On Next, The VOGUE Fashion Fund ในปี 2014 โดยคุณสาถือว่าเป็นผู้เข้าแข่งขันที่อายุน้อยที่สุด ที่ได้เข้ารอบ Top 10 Finalist อีกด้วย
.
นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติอสูงสุด ในการถวายเครื่องประดับต่างหูเกือกม้า แด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีนารีรัตนราชกัญญา อีกด้วย
.
นั่นจึงทำให้คุณสาตัดสินใจเปิดสาขาแรกทันทีที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี 2018 และขยายไปอีก 10 สาขาในปี 2019 ตามห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ อย่าง เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลลาดพร้าว เซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์ เป็นต้น
.
และในปีเดียวกันนั้น RAVIPA ก็ได้รับรางวัลการออกแบบยอดเยี่ยมจาก DEmark Award 2019
.
เท่านั้นยังไม่พอในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา RAVIPA ก็ได้ขยายสาขาไปต่างประเทศเป็นครั้งแรกที่สิงคโปร์
.
ซึ่งแน่นอนว่าในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นั้น เป็นช่วงที่ไวรัส COVID-19 เริ่มระบาดแล้ว แถมภาพรวมยอดขายในตลาดของแบรนด์อื่นๆ ก็ค่อนข้างแย่ แต่ถามว่าทำไมถึงยังกล้าที่จะขยายสาขา ?
.
คำตอบ คือ ก็เพราะเศรษฐกิจแย่ และ โรคระบาดนั่นแหละ RAVIPA คนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะซื้อสินค้าจาก RAVIPA เป็นของขวัญให้คนที่รัก เพื่อเเสดงถึงความรักเเละความเป็นห่วงในสถานการณ์เเบบนี้
.
โดยเฉพาะในช่วงปีใหม่ และ วาเลนไทน์ ยอดขายของ RAVIPA นั้นถือว่าเติบโตขึ้นสวนกระแสเศรษฐกิจเลย จนคุณสาวางแผนที่จะขยายไปยังกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และ ประเทศอื่นๆ อีก
.
แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้เป็นอย่างที่คุณสาคิด !
.
เพราะโรคระบาดคราวนี้มันไม่ได้มาเล่นๆ แต่มันรุนแรงจนทำให้ทุกอย่างต้องหยุดชะงัก
.
เมืองเริ่มปิด ห้างฯ ต้องโดนสั่งปิด สายการบินถูกยกเลิก หลายธุรกิจต้องตกที่นั่งลำบาก ทำให้นักลงทุนต่างๆ ที่คุณสาคุยเอาไว้ต่างชะลอการลงทุน เพราะต้องเก็บเงินเอาไว้ประคับประคองธุรกิจของตัวเองก่อน
.
สถานการณ์ของไวรัส COVID-19 นั้นทำให้คุณสาต้องมีการวางแผนและปรับเปลี่ยนกลยุทธเกือบทุกวัน จากเดินที่วางแผนเดือนละครั้ง
.
เพราะว่ามันไม่มีอะไรแน่นอนเลยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่คาดเดาได้ยาก คำสั่งจากภาครัฐที่ไม่ชัดเจน และพฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนไป
.
มิหนำซ้ำยังมีพวกมิจฉาชีพ เข้ามาปลอม Account line official ของ RAVIPA เพื่อหลอกขายสินค้าในราคาที่ถูกกว่าครึ่ง ซึ่งก็มีลูกค้าจำนวนหนึ่งที่หลงเชื่อจ่ายเงินให้กับพวกมิจฉาชีพไป
.
ในช่วงสถานการณ์ที่ยากลำบากแบบนี้ คุณสาต้องมีการเตรียมแผนการตลาดสำรองไว้ในมืออย่างน้อย 6 แผน เพื่อที่จะได้นำออกมาใช้ได้อย่างทันท่วงทีตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
.
บางครั้งถึงขนาดที่คุณสาต้องตัดสินใจทำในสิ่งที่ผู้นำของแบรนด์เครื่องประดับไม่น่าจะทำ อย่างการนำสเปรย์แอลกอฮอล์ หรือ เทอร์โมมิเตอร์ ออกมาขายเพื่อให้พนักงานของตัวเองนั้นมีงานทำ และยังมีรายได้พอจุนเจือครอบครัว
.
เพราะ RAVIPA ยังไม่มีการเลิกจ้างพนักงานเลยแม้แต่คนเดียว…
.
ถึงขนาดที่คุณสาบอกว่า ถ้า RAVIPA ไม่สามารถอยู่รอดได้ในสถานการณ์แบบนี้ เธออาจจะต้องเปลี่ยนไปขายอย่างอื่นแทน ต่อให้มันจะเป็นแค่การขายชานม ขายก๋วยเตี๋ยว เธอก็ต้องทำ แต่จะไม่ยอมทิ้งใครไว้ข้างหลังอย่างแน่นอน
.
อย่างไรก็ตาม คุณสายังเชื่อว่า “วิกฤต” ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป เพราะถ้าสามารถเข้าไปช่วย “แก้ปัญหา” ในวิกฤตินั้นได้ มันก็เปลี่ยนเป็น “โอกาส” ได้เสมอ
.
นั่นจึงเป็นที่มาของสินค้าตัวใหม่ของเเบรนด์ RAVIPA อย่าง “ระวิภา คอลเลคชั่น Reminder” ซึ่งเป็นสร้อยข้อมือที่ได้อัญเชิญพลังจากพระพุทธคุณสายขาว 8 องค์ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้ผู้ที่สวมใส่นั้นสามารถมีเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจติดตัวไปพร้อมๆ กับการสวมใส่เครื่องประดับที่สวยงามได้
.
เเละแคมเปญ “ส่งกำลังใจให้นักรบชุดขาว” เพื่อสู้ภัย COVID-19 โดยการส่งสร้อยข้อมือของ RAVIPA ให้กับบุคลากรทางการแพทย์เพื่อช่วยคุ้มครองและยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้พวกเขามีแรงที่จะก้าวเดินต่อไปในการทำหน้าที่เป็นด่านหน้าคอยสู้ภัย COVID-19 ในครั้งนี้
.
หรือแม้แต่ผู้ที่กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล สร้อยข้อมือของ RAVIPA ก็ยังเป็นสิ่งแรกที่คนส่วนใหญ่มักจะเลือกซื้อเป็นของขวัญให้กับผู้ป่วยเพื่อช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจของพวกเขา
.
นั่นจึงทำให้แบรนด์ RAVIPA สามารถกลับมาทำยอดขายได้อย่างถล่มทลายอีกครั้ง ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบากแบบนี้
.
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะ ความไม่ยอมเเพ้ของคุณสา ที่ไม่ยอมจมอยู่กับปัญหา เเต่กลับมองทะลุเข้าไปให้เห็นว่า ในอุโมงค์แห่งความมืดมิดของปัญหานั้น มีเเสงสว่างอยู่ทางไหน เเม้แสงนั้นจะมีเพียงน้อยนิด เเต่ถ้าใจสู้พอ สุดท้ายก็จะผ่านพ้นมันไปได้
.
โดยคุณสาได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า “อะไรที่คิดว่าแน่ มันยังไม่มีอะไรแน่นอน สิ่งที่จะทำให้เราอยู่รอดได้ คือ การสังเกต ปรับตัว และมองหาโอกาสอยู่เสมอ เพราะสุดท้าย อนาคตมันก็มีอยู่ 2 ทาง คือ คุณจะเปลี่ยน หรือ รอให้โลกเปลี่ยนคุณ”
.
.
.
#RAVIPA Sa Thanisa